|
Link
to us!!!
|
| ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
|
| อภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล "ใครคิดว่าสุวรรณภูมิจะโต 100% ผมว่าเจ๋ง" |
|
ยืนหยัดอยู่ในวงการพัฒนาที่ดินมานาน ผ่านประสบการณ์บนถนนสายนี้มาทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะเป็นยุคที่ตลาดบ้านเฟื่องฟู หรือตกต่ำ นับตั้งแต่พัฒนาโครงการอาคารพาณิชย์โครงการแรกแถวตลาดบางซื่อเมื่อหลายสิบปีก่อน วันนี้ "อภิสิทธิ์ งามอัจฉริยะกุล" กรรมการผู้จัดการ บริษัท เค.ซี.พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด (มหาชน) ถือเป็นหนึ่งในดีเวลอปเปอร์ มืออาชีพที่ได้รับยอมรับในวงกว้าง โดยมีผลงานการพัฒนาโครงการบ้านจัดสรรทั้งบ้านเดี่ยว ทาวน์เฮาส์นับหมื่นยูนิตเป็นเครื่องการันตี
ท่ามกลางสถานการณ์ทางการเมืองที่มีความไม่แน่นอนสูง เศรษฐกิจโดยรวมชะลอตัวจากปัจจัยลบหลายด้านที่รุมเร้า ในฐานะบิ๊กบอสบริษัทพัฒนาที่ดินที่มุ่งเน้นเจาะกลุ่มลูกค้าในตลาดบ้านระดับกลางที่กำลังบูม และเป็นตลาดที่ผู้ประกอบการทั้งรายเล็ก รายใหญ่หันมารุมแย่งเค้ก "อภิสิทธิ์" สะท้อนแง่คิดมุมมองได้อย่างน่าสนใจ
- มองสถานการณ์ทางการเมืองเวลานี้อย่างไร
ติดตามสถานการณ์ตลอด ยอมรับว่าที่ผ่านมาผู้ประกอบการรวมทั้งนักลงทุนรู้สึกหวาดวิตก และคิดว่าผู้บริโภคหรือประชาชนทั่วไปก็คงเห็นไม่แตกต่างกัน เพราะหลังเกิดปัญหาความขัดแย้งทางการเมือง ทุกอย่างหยุดชะงักไปหมด ประเทศชาติเสียหาย ผมคิดว่าทุกคนต้องการให้ปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นยุติโดยเร็ว
ใครจะเข้ามาเป็นรัฐบาล เข้ามาบริหารบ้านเมืองก็ได้ เอาคนรุ่นใหม่เข้ามาก็ได้ ขออย่างเดียวอย่าโกง อย่างนโยบายก็เหมือนกันอะไรที่เห็นว่าไม่ดีก็ต้องแก้ไข แต่สิ่งไหนที่เห็นว่าดีอยู่แล้วต้องเอาไว้ เพราะหลายๆ ปัญหาแรกๆ ทำถูกแล้วแต่ต่อมากลายพันธุ์ไป เอาง่ายๆ เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ผมมองว่าจริงๆ แล้วรัฐธรรมนูญฉบับนี้ดีอยู่แล้ว แต่คนไม่ดี ไม่มีจริยธรรมมากกว่า
- ผลกระทบต่อธุรกิจ-ตลาดบ้าน
ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าตั้งแต่นี้ไปจนถึงสิ้นปีจะเป็นอย่างไร ไม่ใช่เกิดจากปัญหาการเมืองเพียงอย่างเดียว เศรษฐกิจที่ชะลอตัว ราคาน้ำมัน อัตราดอกเบี้ยก็ส่งผลกระทบอย่างมาก เพราะกำลังซื้อของ ผู้บริโภคลดลง เห็นได้ชัดเจนจากที่ตลาดบ้านชะลอตัวลง โดยเฉพาะบ้านระดับบน คิดว่าธุรกิจอื่นๆ ก็คงได้รับผลกระทบเหมือนๆ กัน
- ผังเมือง กทม.ฉบับใหม่กระทบอย่างไรบ้าง
ผังเมืองรวมกรุงเทพมหานคร (กทม.) ฉบับใหม่ที่ประกาศใช้ปีนี้ ถ้านำไปเปรียบเทียบกับฉบับปี 2542 จะเห็นว่ามีการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับเรื่องการใช้ประโยชน์ที่ดินมากน้อยแค่ไหน คิดว่าการศึกษาหาข้อมูลบางอย่างผิดพลาด และคนวางผังอาจมองในแง่สังคมอย่างเดียว ไม่ได้เอาเรื่องเศรษฐกิจเข้ามาพิจารณาด้วย มีการเปลี่ยนแปลงบ้างอาจจะแค่ 10-15% ทั้งที่ควรจะเปลี่ยนแปลงสัก 30-35% หรือถ้ามากไปก็น่าจะ 25-30% ก็ได้ ผมยอมรับได้
ผมมองว่าผังเมืองรวม กทม.ฉบับใหม่ไม่เหมาะกับกรุงเทพฯ เพราะไล่ให้คนชั้นกลางไปอยู่ไกลๆ ไปอยู่นอกเมือง เพราะไม่ได้เอาเศรษฐกิจมาตั้ง ไม่ได้มองคนส่วนใหญ่ ไม่ได้คิดเรื่องต้นทุน ทำให้คนชั้นกลางหมดเวลาไปกับการเดินทาง ซึ่งมันสูญเสีย
เพราะจริงๆ แล้ว น้ำมันแพงต้องให้คนอยู่ใกล้เมือง สุวรรณภูมิก็เช่นเดียวกัน มีการเปลี่ยนแปลงบ้างแต่น้อยทั้งๆ ที่รัฐลงทุนก่อสร้างสนามบิน สาธารณูปโภคต่าง ๆ ไปกว่า 2 แสนล้านบาท ผมว่าก่อนจะลงทุนโครงการรถไฟฟ้า ต้องปรับผังเมืองรองรับล่วงหน้าก่อน ไม่ใช่รอให้รถไฟฟ้าเกิดแล้วค่อยปรับผังเมืองตาม
- ทำเลสุวรรณภูมิจะบูมขึ้นมากไหม
เร็วไปนิดที่จะมองอย่างนั้น มันไปเรียกผิดว่าเมืองท่องเที่ยวทางน้ำ หรือจะมีการพัฒนาเป็นเมืองใหญ่โต จริงๆ ต้องเรียกว่าเมืองการบิน ผมว่าผังเมืองออกมาอย่างนี้คนที่เดือดร้อนที่สุดคือชาวบ้าน ไม่ใช่นักลงทุนหรือนักพัฒนาที่ดิน เพราะมีที่ดินในมือแต่ไม่สามารถใช้ประโยชน์ได้เต็มที่
- มีการกว้านซื้อเก็งกำไรกันเยอะ
การซื้อขายที่ดินแปลงใหญ่เกิดขึ้นหลายปีแล้ว เวลานี้มีน้อย ที่ดินทำเลสุวรรณภูมิ 5 แสนไร่ รัฐใช้งานไป 1 แสนไร่ ที่เหลืออีก 4 แสนไร่ คิดว่าน่าจะอยู่ในมือบริษัทพัฒนาที่ดินประมาณ 5% หรือ 2 หมื่นไร่ นอกนั้นเป็นที่ดินของนักลงทุน นักเก็งกำไร หรืออาจไม่ได้เก็งกำไรก็ได้ แต่มีเงินก็ไปซื้อที่ตุนเก็บไว้ นอกนั้นเป็นที่ดินชาวบ้าน
- สุวรรณภูมิส่งผลดีต่อการพัฒนาโครงการ
ผมพัฒนาโครงการอยู่ในโซนนั้นเป็นเป็นส่วนใหญ่ก็จริง แต่ไม่ได้คิดว่าได้ผลบุญจากสุวรรณภูมิเยอะมากนัก ดูตัวอย่างรังสิต-นครนายกก็ได้ อยู่ใกล้สนามบินดอนเมือง แต่ไม่เห็นว่าได้รับอานิสงส์จากสนามบินมากเท่าไหร่ เพราะฉะนั้นสุวรรณภูมิก็เช่นเดียวกัน การเติบโตคงไม่ได้เกิดขึ้นเร็ว แต่ค่อยๆ ขยายตัวไปอีก 10 ปี 20 ปีข้างหน้า
เพราะคนทำงานในสนามบินซื้อบ้านแถวรังสิต ดอนเมืองไว้แล้ว จะกู้ซื้อหลังใหม่แถวสุวรรณภูมิคงลำบาก หรือไม่งั้นก็ต้องขายบ้านหลังเก่าไปซื้อหลังใหม่ ไม่ได้เร็ว แต่ค่อยเป็นค่อยไป พวกที่คิดว่าสุวรรณภูมิจะเติบโตพรวดพราด 100% ผมว่าเจ๋ง ไม่ได้หวือหวาเหมือนที่เป็นข่าว
- ในส่วนของเค.ซี.ปีนี้ปรับแผนลงทุนมากไหม
เราไปเรื่อยๆ ผมตั้งเป้าว่าปีนี้จะเปิดทาวน์เฮาส์เยอะขึ้น ส่วนบ้านเดี่ยวไม่เพิ่ม อาจจะทำเท่าเดิม ในแง่ของเงินลงทุนปี 2548 ทาวน์เฮาส์ 20% บ้านเดี่ยว 80% มาปีนี้ทาวน์เฮาส์ 40% ส่วนบ้านเดี่ยว 60% แต่ในแง่จำนวนอย่างละ 50% เท่ากัน สำหรับทาวน์เฮาส์ราคาเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1 ล้านบาท ซึ่งราคาระดับนี้ใน กทม.ไม่มีอยู่แล้ว ที่ทำได้เพราะเรามีที่ดินอยู่แล้ว ยื่นขออนุญาตจัดสรรไว้แล้ว ขอไว้ก่อนผังเมือง กทม.ฉบับใหม่ประกาศใช้ เราสามารถพัฒนาทาวน์เฮาส์ได้อีกประมาณ 2 พันกว่ายูนิต
- เป้าหมายรายได้ปีนี้
เรารับรู้รายได้หลายแบบ มีทั้งร่วมทุน รับสร้างบ้าน และพัฒนาโครงการเอง เป้าหมายรายได้ที่ตั้งไว้ในปีนี้ประมาณ 1.1 พันล้านบาท สำหรับรายได้จากการขายจะมาจากโครงการที่เปิดตัวใหม่ และที่อยู่ระหว่างเปิดขาย เช่น ทาวน์เฮาส์ ในโครงการ เค.ซี.คลัสเตอร์ รามอินทรา เค.ซี.คลัสเตอร์ นิมิตรใหม่ เค.ซี.คลัสเตอร์ วงแหวน ส่วนบ้านเดี่ยว อาทิ เค.ซี.เนเชอรัล วิลล์ เทพารักษ์ เค.ซี.เนเชอรัล วิลล์ รามคำแหง เค.ซี.พาร์ควิลล์ เทพารักษ์ เค.ซี.เนเชอรัล วิลล์ ร่มเกล้า โซน A เป็นต้น
- การแข่งขันรุนแรงหรือเปล่า
ภาวะเศรษฐกิจอย่างนี้ก็ต้องมีการแข่งขันกันรุนแรงขึ้น แต่เรามีจุดแข็งในเรื่องของการบริหารต้นทุน ทั้งที่ดิน และวัสดุก่อสร้าง โดยเฉพาะวัสดุก่อสร้างจะใช้วัสดุคุณภาพดีทั้งหมด เช่น แกรนิต มีเคาน์เตอร์แกรนิตให้ในห้องน้ำทั้งชั้นล่าง ชั้นบน หลังคาก็ใช้กระเบื้องโมเนียทั้งหลัง ลงเข็มให้อย่างดี ตัวรั้วบ้านก็ลงเข็มให้ ฯลฯ พวกนี้เราคิดว่าให้มากกว่าโครงการอื่นๆ ในระดับราคาใกล้เคียงกัน จึงไม่คอยกลัวเรื่องการแข่งขัน
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 31-07-2549
|
|
|
|
|
