Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
บินลัดฟ้าสวิตเซอร์แลนด์ ชมโรงปูนซีเมนต์ "โฮลซิม" ต้นแบบพลังงานทางเลือก |
|
ช่วงปลายเดือนพฤษภาคมจนถึงวันที่ 8 มิถุนายนที่ผ่านมา "ประชาชาติธุรกิจ" ได้รับเชิญจากกลุ่มโฮลซิม ผู้ผลิตปูนซีเมนต์รายใหญ่ที่สุดรายหนึ่งของโลก ซึ่งเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) ไปเยี่ยมชมโรงงานปูนซีเมนต์ของโฮลซิม ที่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ฐานการผลิตอีกแห่งหนึ่งของค่ายปูนซีเมนต์ระดับโลกรายนี้
ตัวโรงงานที่มีโอกาสได้เข้าเยี่ยมชมตั้งอยู่ที่เมือง ซูริก ที่ว่ากันว่าเป็นเมืองที่ใหญ่สุดของสวิตเซอร์แลนด์ แต่ทำเลที่ตั้งโรงงานอยู่ห่างออกไปจากตัวเมืองพอสมควร หรือจะเรียกว่าเป็นแถบชานเมืองก็ได้ ที่ดูออกจะคล้ายๆ บ้านเราหน่อยเห็นจะเป็นบรรยากาศโดยรอบโรงงาน เพราะไม่ต่างไปจากโรงงานปูนซีเมนต์ของปูนกลางที่จังหวัดสระบุรีเท่าใดนัก นอกจากนี้ยังโอบล้อมด้วยภูเขาเหมือนๆ กัน
เมื่อเทียบกับโรงปูนที่สระบุรีแล้ว ที่นี่มีขนาดเล็กกว่ามาก ดูจากจำนวนพนักงานมีอยู่เพียงแค่ 110 คน กำลังการผลิต 2,000 ตันต่อวันหรือ 5 แสนตันต่อปี ขณะที่โรงงานที่สระบุรีมีพนักงานทั้งหมดถึง 3,000 คน กำลังการผลิต 12 ล้านตันต่อปี
แต่ที่น่าสนใจคือ โรงงานที่นี่นอกจากจะใช้ผลิตปูนซีเมนต์แล้ว ยังมีกระบวนการผลิตพลังงานทางเลือก เพื่อนำมาใช้ทดแทนน้ำมันและถ่านหิน ที่เป็นวัตถุดิบหลักในการผลิตปูนซีเมนต์อีกด้วย
และพลังงานทางเลือกนี้เอง เป็นวิธีการหนึ่งที่ช่วยลดต้นทุนการผลิตได้เป็นอย่างดี ทั้งยังเหมาะสมอย่างยิ่งในยุคน้ำมันราคาแพง เพราะกระบวนการผลิตปูนซีเมนต์จำเป็นต้องใช้เชื้อเพลิงเป็นจำนวนมาก
กลุ่มโฮลซิม นอกจากจะนำพลังงานทางเลือกมาใช้เป็นส่วนหนึ่งในการผลิตปูนซีเมนต์ขายแล้ว ที่โรงงานแห่งนี้ยังเปิดให้ลูกค้ารายอื่นมาใช้บริการอีกด้วย หากกลุ่มธุรกิจเหล่านั้นสนใจที่จะใช้พลังงานทางเลือกที่ว่านี้
นอกจากช่วยประหยัดพลังงานที่นับวันจะมีน้อยลงและหาได้ยากแล้ว ยังเป็นการหารายได้เสริมอีกทางหนึ่ง เพราะทราบว่าการให้บริการพลังงานทางเลือกสามารถสร้างรายได้ให้กับกลุ่มโฮลซิมได้อย่างเป็นกอบเป็นกำ ไม่แพ้กับการผลิตปูนซีเมนต์ขายเลยทีเดียว
สำหรับกระบวนการผลิตของพลังงานทางเลือก จะได้จากการเผา ด้วยการนำขยะที่ไม่ได้ใช้แล้ว มาผ่านกระบวนการรีไซเคิลใหม่ เช่น ยางรถยนต์ กระดาษ พลาสติก เหล็ก อาหาร แก้ว เป็นต้น ซึ่งในทางปฏิบัติจะเลือกเฉพาะขยะที่ไม่เป็นอันตรายมาบริหารจัดการ
วิธีการคือนำขยะเหล่านั้นมาเผาผลาญ เปลี่ยนเป็นพลังงานที่นำมาใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แทนที่จะปล่อยทิ้งไปอย่างไร้ประโยชน์ ยิ่งไปกว่านั้นยังเป็นการรักษาสิ่งแวดล้อมไม่ให้เกิดมลพิษ
โดยเฉพาะในการผลิตปูนซีเมนต์นั้นสามารถนำพลังงานที่ได้กลับมาใช้ใหม่ได้อย่างสมบูรณ์เต็ม 100% เพราะอุณหภูมิของก๊าซในเตาเผาปูนซีเมนต์สูงถึงกว่า 1,800 องศาเซลเซียส ที่ระยะเวลาหมุนเวียนนานกว่า 5 นาที ซึ่งเป็นระยะเวลาเพียงพอในการเผาทำลายสารอินทรีย์ต่างๆ ในขยะ ทำให้ไม่มีขี้เถ้าหลงเหลือจากการเผากำจัด เพราะได้ถูกหลอมรวมเป็นผลึกในสภาพที่เสถียรอยู่ในปูนเม็ดแล้ว
วิธีการนี้ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่องในช่วง 15-16 ปีที่ผ่านมา เพราะปริมาณการใช้น้ำมันที่สูงขึ้นเรื่อยๆ บวกกับราคาที่มีแนวโน้มพุ่งสูงขึ้น ทำให้หลายฝ่ายต้องเร่งศึกษาค้นคว้าเพื่อหาพลังงานทางเลือกอื่นมาทดแทน จนในปัจจุบันพลังงานที่ได้จากการนำของเสียมารีไซเคิลได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางในระดับสากล
ปัจจุบันทางกลุ่มโฮลซิมได้ขยายฐานไปแล้วกว่า 36 ประเทศ อาทิ แคนาดา เม็กซิโก สหรัฐอเมริกา เยอรมนี รัสเซีย เวียดนาม ฟิลิปปินส์ นิวซีแลนด์ ออสเตรเลีย อิตาลี ฯลฯ รวมทั้งประเทศไทยด้วย
"ลีโอ มิทเทลโฮลเซอร์" บอสใหญ่ของปูนนครหลวง บอกว่า ที่ประเทศไทยได้นำวิธีการนี้มาใช้กับโรงงานปูนซีเมนต์ที่สระบุรี แต่ยังเป็นเพียงแค่เริ่มต้น และอยู่ในขั้นตอนของการศึกษา กระบวนการต่างๆ ยังไม่เป็นรูปเป็นร่างที่สมบูรณ์ ต้องรออีกประมาณ 2-3 ปี โดยโครงการดังกล่าวใช้งบฯลงทุนประมาณ 20-30 ล้านเหรียญ
"แนวทางก็เพื่อลดคอสต์ เพราะน้ำมันราคาแพงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเป็นแนวทางที่ใช้กันทั่วโลก สำหรับเชื้อเพลิงมาจากพลังงานทางเลือกนี้ หลักๆ มาจากการใช้ขยะต่างๆ มาแปลงเป็นพลังงาน ไม่ว่าจะเป็นขยะตามบ้าน โรงงานอุตสาหกรรม พลังงานชีวภาพต่างๆ หรือแม้แต่พืชผักผลไม้ มาแปลงเป็นพลังงาน"
"เมื่อถึงจุดหนึ่งถือว่าเป็นพลังงานทางเลือกที่สำคัญวิธีหนึ่งในการลดต้นทุนการผลิต แต่ตอนนี้เน้นเรื่องของสังคม ในแง่ของการรักษาสิ่งแวดล้อม และการเติบโตทางเศรษฐกิจเป็นหลัก และที่เมืองไทยมีขยะที่สามารถนำมาใช้ผลิตพลังงานทางเลือกอีกมาก"
พร้อมกับย้ำว่า การที่นำขยะมารีไซเคิลใหม่และใช้ในการผลิตปูนซีเมนต์ ไม่ได้ทำให้คุณภาพสินค้าด้อยลง ทุกอย่างยังเหมือนเดิม เพราะจะมีระบบควบคุมคุณภาพที่ดี เพราะจะมีการควบคุมการผลิตอย่างดีและรัดกุม ด้วยอุปกรณ์ที่ทันสมัยและดีที่สุด ไม่ให้มีสารปนเปื้อนเข้าไป ทำให้มาตรฐานของสินค้าหายไปอย่างแน่นอน
ถือเป็นการนำสิ่งที่ไร้ค่ามาเติมแต่งให้มีคุณค่าได้อย่างลงตัวและน่าทึ่งจริงๆ
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 19-06-2549
|
|
|
|
|