Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
ชี้ชะตาทำเลทอง "เซ็นทรัล" ร.ฟ.ท.ลุ้นแก้หนี้ 4.3 หมื่น ล. |
|
ยิ่งใกล้งวดครบกำหนดดีลเช่าที่ดินย่านพหล โยธิน ระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (ร.ฟ.ท.) กับบริษัท เซ็นทรัลพัฒนา จำกัด ก็ยิ่งได้รับความสนใจ ไม่แพ้กระแสการเมืองที่กำลังร้อนระอุอยู่ขณะนี้ แม้จริงๆ แล้วสัญญาเช่าจะสิ้นสุดในวันที่ 18 ธันวาคม 2551 โน่น หรืออีก 2 ปีกว่า
เพราะปัจจุบันที่ดินแปลงนี้กลายเป็นทำเลทองที่นักลงทุนหลายรายหมายตาอยากเข้ามาจับจอง หากเซ็นทรัลฯเจ้าของเดิมไม่ได้รับการต่ออายุสัญญาจากการรถไฟฯ และเปิดประมูลใหม่ เพื่อเปิดทางให้ทุกรายต่างมีสิทธิ์ที่จะเสนอตัวเข้ามาพัฒนาได้
ขณะที่เซ็นทรัลฯเองก็มีท่าทีว่าจะไม่ยอมปล่อยที่ดินผืนงามนี้ให้หลุดลอยจากมือไปง่ายๆ เพราะกว่าจะพลิกที่ดินขนาด 47.22 ไร่แปลงนี้ จากอดีตเป็นทุ่งนา มาเป็นที่ดินที่มีมูลค่าเป็นหมื่นล้านบาท โดยใช้เวลาเนิ่นนานพอควรพัฒนาเป็นโรงแรม ขนาด 607 ห้อง อาคารศูนย์การค้า สูง 5 ชั้น อาคารสำนักงานสูง 10 ชั้น อาคารห้างสรรพสินค้าสูง 6 ชั้น และอาคารจอดรถสูง 6 ชั้น ที่ไม่มีใครไม่รู้จักอย่างในปัจจุบัน
ตลอดเวลาที่ผ่านมา เซ็นทรัลฯจึงมีความพยายามจะขอต่ออายุสัญญาเช่าจากการรถไฟฯมาแล้วหลายครั้ง เพื่อจะได้เตรียมวาดแผนการดำเนินการธุรกิจในเครือว่าจะไปในทิศทางใด หลังจากที่ได้รับการต่ออายุสัญญาจากการรถไฟฯเป็นที่แน่นอนแล้ว แต่ไม่มีข้อสรุปที่ชัดเจนออกมา จนเวลาล่วงเลยมาถึงปัจจุบัน
เนื่องจากการรถไฟฯต้องการจะขอปรับค่าเช่าและรื้อสัญญาเพิ่มผลประโยชน์ตอบแทนใหม่ ตามมูลค่าที่ดินที่สูงขึ้นเป็นเงาตามตัวในขณะนี้ หลังจากที่ได้เห็นถึงศักยภาพของที่ดินว่าสามารถจัดสรรผลประโยชน์ได้มากน้อยแค่ไหน ทั้งที่เดิม สิ่งเหล่านี้การรถไฟฯเคยมองข้าม
ขณะเดียวกัน ด้านการรถไฟฯมีข้อเสนอ 2 ทางเลือกให้กับกลุ่มเซ็นทรัล คือ 1.ต่อสัญญาเดิมให้ ในระยะเวลา 10 ปี และต้องคิดผลตอบแทนใหม่ 2.เปิดประมูลใหม่ และได้สิทธิเช่าในระยะยาว 30 ปี
"ยังพอมีเวลาเหลืออีกกว่า 2 ปี ที่จะคิดพิจารณาว่าจะดำเนินการยังไงต่อไป การรถไฟฯจะเริ่มพิจารณารายละเอียดตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นไป ซึ่งคงใช้เวลาไม่นานจะได้ข้อสรุป เพราะทุกอย่างชัดเจนอยู่แล้ว สามารถตีมูลค่าได้เลย ไม่รวมที่ดิน จะไม่ถึงหมื่นล้านบาท แต่ถ้ารวมที่ดินกับการเช่าระยะยาว มีมูลค่าถึงหมื่นล้านบาท" แหล่งข่าวจากการรถไฟฯกล่าว
นอกจากนี้ การรถไฟฯยังได้นำกรณีการเช่าที่ดินของเซ็นทรัลฯนี้บรรจุเข้าไปในแผนปรับโครงสร้างของการรถไฟฯด้วย เพื่อประเมินรายได้ที่จะได้มาจากการรื้อสัญญาค่าเช่าใหม่ที่จะทำให้การรถไฟฯมีรายได้เพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว มาประกอบในแผนแก้หนี้ มูลค่า 43,000 ล้านบาท ผลพลอยได้ทำให้การปรับโครงสร้างหนี้ประสบความสำเร็จเร็วขึ้น
สำหรับแผนการปรับโครงสร้างหนี้ของการรถไฟฯ เป็นเรื่องที่พูดและทำกันมานาน แต่ยังไม่เป็นรูปเป็นร่าง และนำไปสู่ความเป็นจริงได้สักที ไม่รู้ว่าปัญหาที่แท้จริงอยู่ตรงไหน ที่ทำให้การดำเนินการยุ่งยากยืดเยื้อมาจนป่านนี้
แผนปัจจุบันที่การรถไฟฯจัดทำไว้ เตรียมจะเสนอคณะกรรมการ (บอร์ด) การรถไฟฯ กระทรวงคมนาคม และคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาในเร็วๆ นี้ ประกอบด้วย จะโอนหนี้จากการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน จำนวน 15,000 ล้านบาท ให้กระทรวงการคลังดูแลแทน พร้อมกับส่วนของหนี้ที่เกิดจากการชดเชยส่วนขาดทุนที่ล่าช้ามากว่า 3 ปี จำนวน 18,000 ล้านบาท
ทั้งหมดนี้จะทำให้หนี้ของการรถไฟฯหายไปจำนวน 33,000 ล้านบาท จากหนี้ทั้งหมด 43,000 ล้านบาท ที่เหลืออีก 10,000 ล้านบาท การรถไฟฯจะนำที่ดินที่ให้หน่วยงานราชการเช่าอยู่ปัจจุบันนี้ เช่น ที่ดินศาลอาญาตรงรัชดาภิเษก เป็นต้น ขายให้กับกรมธนารักษ์ ในรูปแบบหักลบกลบหนี้ คิดเป็นมูลค่าประมาณ 4,000 ล้านบาท
สำหรับที่เหลืออยู่อีก 6,000 ล้านบาท การรถไฟฯจะบริหารจัดการจากที่ดินที่มีอยู่ในมือ เช่น ปรับค่าเช่า เปิดให้เอกชนเข้ามาบริหารจัดการมากขึ้น เป็นต้น
"คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 5 ปี นับจาก เมื่อแผนได้รับการอนุมัติ แต่ตอนนี้อาจจะทำให้ ขั้นตอนต่างๆ ล่าช้าออกไป เพราะมีการยุบสภา เรื่องที่กำลังจะขออนุมัติต้องเลื่อนออกไป รอจน กว่าจะมีรัฐบาลใหม่เข้ามา แต่ก็หนักใจ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อรัฐบาลใหม่เข้ามาแล้วจะเห็นด้วยกับแผน ปรับโครงสร้างหนี้ฉบับนี้หรือไม่ ถ้าไม่เห็นด้วย ก็ต้องเริ่มนับหนึ่งใหม่อีก" แหล่งข่าวจากการรถไฟฯกล่าว
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 09-03-2549
|
|
|
|
|