Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
"ปูนอินทรี" กำไร 4 พันล้าน แต่ "กดดัน" |
|
การเปิด "ตัวเลข" ผลประกอบการประจำปี 2548 ของบริษัท ปูนซีเมนต์นครหลวง จำกัด (มหาชน) หรือปูนกลาง ต่อกลุ่มนัก วิเคราะห์และสื่อนับร้อยคนเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา บรรยากาศค่อนข้างแปลกไปกว่าทุกครั้ง
เนื่องจากสาระสำคัญค่อนข้างซีเรียส เพราะปัจจัยหลัก 2 ประการ นั่นคือ เสถียรภาพทางการเมืองที่เริ่มเข้าสู่ยุคแปรผันและต้นทุนพลังงานน้ำมันที่พุ่งไม่หยุด กำลังกลายเป็น "ตัวเร่ง" ให้ผู้ผลิตปูนซีเมนต์เบอร์สองรายนี้ต้องจูนตัวเองให้รับกับสถานการณ์ใหม่ให้ได้
สังเกตจากเอกสารพาดหัวตัวโตระบุชัดว่า "ผลประกอบการที่มั่นคง ภายใต้ความกดดันที่สูงขึ้น"
เป็นประโยคที่สื่อความหมายได้ดีที่สุด
นายใหญ่จากกลุ่มโฮลซิม สวิตเซอร์แลนด์
"ลีโอ มิทเทลโฮลเซอร์" กรรมการผู้จัดการบริษัท ร่ายยาวเนื้อหาเป็นภาคภาษาอังกฤษเกือบหนึ่งชั่วโมง พร้อมตอบข้อซักถามจากนักวิเคราะห์ละเอียดยิบ
มิทเทลโฮลเซอร์ ได้สรุปภาวะตลาดปูนซีเมนต์ในประเทศและส่งออกของปี 2548 ว่า ปีที่ผ่านมา บริษัทมียอดขายสุทธิรวมทั้งกลุ่ม 22,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2547 ร้อยละ 8 โดยปริมาณการขายปูนในประเทศเพิ่มขึ้นจาก 7.1 ล้านตันในปี 2547 เป็น 7.8 ล้านตันในปี 2548
ขณะที่ปริมาณส่งออกเพิ่มขึ้นกว่าร้อยละ 50 จาก 3.3 ล้านตันเป็น 5 ล้านตัน กว่าครึ่งหนึ่งส่งออกไปเวียดนาม ที่เหลือจะเป็นการส่งออกไปยังตลาดสหรัฐอเมริกาและประเทศแถบตะวันออกกลาง
ปี 2548 บริษัทมีกำไรสุทธิ 4,073 ล้านบาท
ลดลงเล็กน้อยจากปี 2547 ซึ่งมีกำไรสุทธิ 4,141 ล้านบาท เหตุที่กำไรลดลง เนื่องจากปี 2547 มีการขายบริษัท รอยัล ปอร์ชเลน จำกัด (มหาชน) บริษัทในเครือออกไป หากไม่รวมรายการนี้ปี 2548 รายได้สุทธิยังเติบโตกว่าร้อยละ 4 และกำไรสุทธิมากกว่า ร้อยละ 5
ส่วนแนวโน้มตลาดปูนซีเมนต์ในปี 2549 มิท เทลโฮลเซอร์ ให้ความเห็นว่า ตลาดปูนซีเมนต์โดยรวมจะเติบโตประมาณ 5% จาก 28.1 ล้านตันเป็น 30 ล้านตัน ในส่วนของปูนซีเมนต์นครหลวงตั้งเป้าอัตราการขายในประเทศเติบโตเพิ่มขึ้นร้อยละ 6 ในปีนี้เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา หรือจาก 7.8 ล้านตันเป็น 8.3 ล้านตัน การส่งออกก็ต้องลดลงโดยปริยายเหลือเพียง 4 ล้านตัน เนื่องจากมีกำลังการผลิต 12.3 ล้านตัน/ปี
แต่ประเด็นสำคัญที่มิทเทลโฮลเซอร์ซีเรียส และย้ำเป็นพิเศษ คือ ปัจจัยการเมืองและปัญหาต้นทุนพลังงาน โดยเอ็มดีปูนกลางให้ความเห็นว่า สถานการณ์ปูนซีเมนต์ในปีนี้ ยังมีแรงกดดันค่อนข้างสูงจากปัจจัยการเมืองในประเทศที่ไม่นิ่งและกรอบการลงทุนโครงการเมกะโปรเจ็กต์ยังไม่ชัดเจน ซึ่งจะส่งผลกระทบต่อโครงการลงทุนขนาดใหญ่ให้ล่าช้าออกไป แม้ว่าโครงการเหล่านี้ต้องเกิดขึ้นแน่ แต่หากเกิดขึ้นในปีนี้ ความต้องการใช้ปูนจะเพิ่มอีก 1-2 ล้านตันต่อปี
แน่นอนย่อมช่วยบรรเทาภาวะการแข่งขันอย่างต่อเนื่องของราคาขายได้เป็นอย่างดี เห็นได้จากราคาปูนปี 2547 ยังสูงกว่าปี 2549
อีกปัจจัยสำคัญคือ ต้นทุนพลังงานและไฟฟ้าซึ่งคิดเป็นต้นทุนการผลิตถึง 77% หากเทียบต้นทุนพลังงานปลายปี 2548 กับปี 2547 ต้นทุนเพิ่มขึ้น
ถึงร้อยละ 61 และต้นทุนค่าไฟฟ้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 23 ล่าสุดได้มีการขึ้นค่า Ft หรือต้นทุนผันแปรในการผลิตไฟฟ้าของภาครัฐอีก 19 ส.ต.ต่อหน่วย ในขณะที่ราคาปูนหน้าโรงงาน กระทรวงพาณิชย์ไม่ให้ขึ้นราคามาหลายปีแล้ว
ตอนนี้บริษัทต้องหาทางออก โดยตัดสินใจจัดตั้งสายงานธุรกิจใหม่ชื่อ "อีโคสยาม" เพื่อพัฒนาเชื้อเพลิงและวัตถุดิบทดแทน (เออาร์เอฟ) เพื่อให้บริการด้านการกำจัดกากอุตสาหกรรมในประเทศแบบครบวงจร โดยมีแผนลงทุนเพื่อพัฒนาด้านนี้อีก 400 ล้านบาทในปีนี้ ในการขยายโรงงานที่สระบุรี
"ที่ผ่านมาเราใช้เชื้อเพลิงทดแทนได้ประมาณร้อยละ 1 ที่เราลงทุนเพิ่มด้านนี้มีเป้าหมายที่จะใช้ทดแทนเชื้อเพลิงหลักให้ได้ร้อยละ 5 ซึ่งยังน้อยเมื่อเทียบกับในยุโรปที่ใช้ทดแทนได้ถึงร้อยละ 40" มิทเทลโฮลเซอร์กล่าวในตอนท้าย
ดูเหมือนว่า ปัจจัยการใช้เชื้อเพลิงทดแทนยังต้องใช้เวลาอีกหลายปี จึงจะเห็นผลที่ชัดเจน ขณะที่ปัจจัยต้นทุนเชื้อเพลิงหลัก ค่าไฟฟ้า และการเมืองยังรุมเร้าต้นทุนการผลิตปูนซีเมนต์อยู่ตลอด
พลันมีเสียงดังฟังชัดจาก "จันทนา สุขุมานนท์ รองประธานบริหารการตลาดและการขาย กล่าวตบท้ายว่า "ที่สุดแล้วคงหนีไม่พ้นที่จะดึงส่วนลดราคาปูนจากเอเย่นต์คืน จากตอนนี้ที่ให้ตันละ
400-450 บาทเหลือเพียง 300 บาทต่อตัน"
แต่จะเป็นเมื่อไหร่นั้น งานนี้เอเย่นต์ปูนอินทรีต้องคอยเงี่ยหูฟัง
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 20-02-2549
|
|
|
|
|