Link
to us!!!
|
ข่าวเศรษฐกิจ / วงการก่อสร้าง |
|
|
|
"สหพัฒน์" ยุคใหม่ทั้งรุกทั้งรับ บุกธุรกิจใหม่-เน้นสินค้ามาร์จิ้นสูง |
|
ความไม่แน่นอนของสภาพเศรษฐกิจและปัจจัยลบรอบข้างที่ยังคงเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อการดำเนินงานของภาคธุรกิจที่ยังไม่สามารถนิ่งนอนใจได้ในปัจจุบัน และทำให้ทุกคนต่างอยู่ในสภาพการเตรียมพร้อม "ตั้งรับ" กับสถานการณ์ต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต
ไม่พ้นแม้กระทั่งยักษ์ใหญ่ "สหพัฒนพิบูล" บริษัทเก่าแก่ที่อยู่คู่คนไทยมาเนิ่นนานกับบทบาทผู้ผลิตและจัดจำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคที่ปัจจุบันได้ขยายและแตกไลน์ไปสู่ธุรกิจอื่นๆ อีกมากมาย
"ประชาชาติธุรกิจ" มีโอกาสได้พูดคุยกับ "บุญชัย โชควัฒนา" กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท สหพัฒนพิบูล จำกัด (มหาชน) ผู้รับผิดชอบกับส่วนงานสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องเกี่ยวข้องกับผู้บริโภคระดับรากหญ้าโดยตรง ถึงมุมมองเกี่ยวกับสภาพการณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้น
- สถานการณ์ตอนนี้หนักใจไหม
แน่นอนว่าความเชื่อมั่นของประชาชนตกลง เพราะเรื่องของความเชื่อมั่นสามารถตกได้ทุกกรณีเมื่อมีปัจจัยอะไรเข้ามากระทบ ตอนนี้ก็ยอมรับว่าปัจจัยหลักเป็นเรื่องการเมือง แต่ก็ยังมั่นใจว่าสินค้าอุปโภคบริโภคจะไม่กระทบอย่างแน่นอน ยังโตได้อีกแต่คงโตไม่มาก แต่ส่วนตัวมั่นใจว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวได้ดี กำลังซื้อจริงๆ แล้วไม่ได้มีปัญหาอะไร อย่างสถานการณ์ภาคใต้ที่ใครๆ คิดว่ากำลังซื้อจะตก แต่จริงๆ แล้วก็ยังไปได้ดีอยู่
- สหพัฒน์ปรับตัวอย่างไร
ปรับหลายด้านมาก อย่างเรื่องลอจิสติกก็ปรับมาโดยตลอด ปีนี้เป็นปีที่เราใช้ไอทีเข้ามาช่วยเรื่องนี้มากขึ้น และตั้งเป้าหมายเรื่องการบริหารลอจิสติก มากแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ต้องยอมรับว่ามาจากเหตุผลเรื่องน้ำมันเป็นหลัก โจทย์หลักของเราก็คือ ทำอย่างไรให้ส่งได้เร็วขึ้น และส่งได้มากขึ้นในเวลาและต้นทุนที่เท่าเดิม ตอนนี้การปรับปรุงก็เรียกได้ว่า 80-90% แล้ว แต่อย่างไรก็คงไม่ถึง 100% เพราะลอจิสติกถ้าให้สมบูรณ์ 100% จะต้องเสียค่าใช้จ่ายที่สูงมาก
- กับการควบคุมราคาของภาครัฐ
ผมว่ายุคนี้การควบคุมราคาไม่ค่อยมีแล้ว เพราะขัดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริง ถามว่าผู้ผลิตจะยอมผลิตไหม เหมือนน้ำตาลที่ในที่สุดก็ขาดตลาด แต่ยังไงนโยบายของเราก็ยังยืนยันว่าจะเป็นรายสุดท้ายที่ขึ้นราคา ยกตัวอย่าง สบู่ ผงซักฟอก เป็นสินค้าที่ต้นทุนสูงมากจนเราต้องนำเข้าวัตถุดิบที่ผลิตสบู่มาจากอินโดนีเซีย เพราะถูกกว่า ผมว่าในที่สุดการแข่งขันเสรีย่อมจะดีกว่า และจะทำให้ราคาลดลงมาเอง ถ้าเป็นการแข่งขันอย่างสมบูรณ์
- เป้าหมายเน้นยอดขายหรือกำไร
มองทั้ง 2 อย่างเพราะยอดขายก็นำมาซึ่งกำไร แต่แนวทางหนึ่งของสหพัฒนพิบูลหลังจากนี้คือต้องหาสินค้าที่ไฮมาร์จิ้น คือมีกำไรสูงมากขึ้น ซึ่งปัจจุบันสินค้าที่เรามีส่วนใหญ่จะเป็นโลว์มาร์จิ้น และมีต้นทุนการดำเนินการ หรือขนส่งสูง คือพวกสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องใช้พื้นที่ในการขนส่งมาก แต่ราคาต่ำ แต่ต้องยอมรับว่าที่ผ่านมาเราถนัดสินค้าแบบนี้มากกว่า แต่อนาคตเราจะค่อยๆ ปรับ ปุ๊บปั๊บไม่ได้ อนาคตออกสินค้าใหม่ก็ต้องนึกถึงเรื่องนี้มากขึ้น พวกสินค้าที่เป็นไฮเอนด์พรีเมี่ยม แต่อย่างไรก็คงต้องเป็นการผสมผสานกันไประหว่างไฮมาร์จิ้นและโลว์มาร์จิ้นด้วย
ที่ผ่านมาผมจึงไม่แปลกใจที่คอลเกต-ปาล์ม โอลีฟต้องขายผงซักฟอกแฟ้บให้กับพีแอนด์จี เพราะค่าดำเนินการไม่คุ้มเนื่องจากเป็นสินค้าที่โลว์มาร์จิ้นที่ต้องเน้นเรื่องวอลุ่มที่สูง แต่สินค้าคอนซูเมอร์บางตัวก็ยังได้อยู่ เช่น ยาสีฟัน ที่ใช้พื้นที่ไม่มากและมาร์จิ้นใช้ได้
- ได้ยินว่าปีนี้สหพัฒน์จะรุกหนัก
ครับ ปีนี้เราตั้งเป้าโต 15% ในปีนี้ จากปีที่แล้วโต 10% คาดว่าจะมียอดขายที่ 16,400 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว 14,000 ล้านบาท แนวทางปีนี้ที่จะทำมี 2 เรื่องคือ ขยายไลน์ธุรกิจสู่การเป็นผู้จัดจำหน่ายเต็มตัว รวมทั้งขยายช่องทางจำหน่ายของเราเองคือ 108 shop ให้มีจำนวนสาขาที่มากขึ้น
- แนวคิดการขยายสู่ผู้จัดจำหน่าย
ที่จริงเราเป็นบริษัทจัดจำหน่ายอยู่แล้ว แต่ทิศทางจากนี้คือการเปิดตัวรับจำหน่ายสินค้าจากค่ายอื่นๆ ที่ไม่ใช่ของเราด้วย เพราะปัจจุบันเรายังมีศักยภาพเหลือที่จะทำได้ ทั้งคลังสินค้า หน่วยรถ ทีมขาย ฯลฯ ตอนนี้เรามีสินค้าข้างนอกประมาณ 4-5 ตัว อาทิ กะทิอร่อยดี มิตรผล โกลด์ น้ำมันพืชทิพ ซิมดีแทค ส่วนปีนี้ก็คาดว่าจะเพิ่มอีก 2-3 ตัว
ผมมีชื่อเรียกหน่วยงานนี้ว่า MDL (Marketing Distribution and Logistics) โดยผู้ที่มาให้เราจัดจำหน่ายนั้นจะใช้บริการครบวงจรทั้ง 3 เรื่องก็ได้คือ ทั้งวางแผนการตลาด กระจายสินค้า รวมทั้งดูแลเรื่องลอจิสติกหรือจะเลือกอันใดอันหนึ่งก็ได้ โดยจะเน้นสินค้าที่ดีมีคุณภาพและตรงกับช่องทางจำหน่ายที่เราแข็งแกร่ง ความตั้งใจคือต้องการให้ยอดขายในส่วนนี้เพิ่มเป็น 20% ของรายได้ทั้งหมดของเรา
- จุดแข็งของสหพัฒน์กับธุรกิจนี้
ผมมั่นใจว่าเราสามารถจัดจำหน่ายและครอบคลุมช่องทางได้ครบถ้วนมากที่สุดในประเทศไทย ทั้งโมเดิร์นเทรดและเทรดิชันนอลเทรด รวมทั้งช่องทางที่เป็นอุตสาหกรรม โรงแรม ร้านอาหาร แต่ก็ยอมรับว่ายังมีบางช่องทางที่เราไม่ถนัด เนื่องจากที่ผ่านมาไม่มีสินค้าประเภทนี้มากนัก เช่น ร้านขายยา โรงพยาบาล ซึ่งปีนี้เราก็จะเน้นหนักมากขึ้น โดยมีการตั้งทีมขายขึ้นมาโดยเฉพาะ รวมทั้งหน่วยรถหลายสิบหน่วย ต่อไปสินค้าในเครือและนอกเครือก็จะมาเข้าช่องทางนี้มากขึ้น เพื่อเพิ่มศักยภาพของเรา
- ความคืบหน้าของ 108 shop
ไปได้เรื่อยๆ ตอนนี้มีทั้งหมด 600 แห่ง ปีนี้ตั้งใจจะให้ได้ 1,000 แห่ง จริงๆ 108 shop เป็นโปรเจ็กต์ของทั้งเครือสหพัฒน์ เป็นงบฯรวมของเครือที่ช่วยกันขยายคนละส่วน ทั้งไอ.ซี.ซี.ฯ และสหพัฒนพิบูล รวมถึงไลอ้อน ซึ่งการขยาย 108 shop ก็เป็นแนวทางหนึ่งในการสร้างการเติบโตให้กับบริษัท เพราะที่ผ่านมาเรามีการผลิตสินค้าประเภทเครื่องใช้ในครัวเรือน ไม่ว่าจะเป็นน้ำยาล้างจาน ผงซักฟอก น้ำยาปรับผ้านุ่ม เพื่อเป็นสินค้าเฮาส์แบรนด์ 108 shop วางจำหน่ายในร้าน ปีนี้ก็น่าจะเพิ่มสัก 1-2 รายการ เน้นสินค้าที่ผู้บริโภคไม่เน้นแบรนด์มากนัก คอนเซ็ปต์คือเน้นราคาถูกเพราะเป็นสินค้าที่ส่งตรงจากโรงงาน เหมาะกับยุคที่น้ำมันแพงยุคนี้
- มุมมองการสร้างแบรนด์ยุคนี้
เรามีแบรนด์ที่หลากหลายมาก สิ่งที่จะเน้นคือรักษาความดีของแบรนด์ที่เรามีอยู่ไว้ คงไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมายนัก แต่ที่ผ่านมาเราก็มีการรีแบรนดิ้งหลายตัวให้มีความทันสมัย ไม่ว่าจะเป็นเปา มาม่า ฯลฯ ซึ่ง 2 ตัวนี้ก็ยังเป็นยอดขายหลักของเรา ส่วนเรื่องการออกสินค้าใหม่ๆ แต่ละสินค้าก็ต้องมีนวัตกรรมใหม่อย่างน้อยแบรนด์ละ 1-2 ตัว ซึ่งปีที่แล้วเราก็ทำมาโดยตลอด
|
ที่มา [ ประชาชาติธุรกิจ ] วันที่ 16-02-2549
|
|
|
|
|