เป็นเรื่องที่น่าเศร้าไม่น้อยเลย
ว่าผู้รับเหมาบ้านเราหลายคนทำให้เกิดอาคารวิบัติ
โดยรู้เท่า ไม่ถึงการณ์ โดยการ เปลี่ยนแปลง
แบบวิศวกรรมโครงสร้าง ของพื้น จากพื้นหล่อกับที่ธรรมดา
ไปเป็นพื้นสำเร็จ เพื่อการทำงาน ที่ง่ายกว่า
และบางทีก็เปลี่ยนจาก ระบบพื้นสำเร็จ
ไปเป็นพื้นหล่อกับที่ ยามที่หาพื้นสำเร็จ
ตามแบบไม่ได้ โดยมักจะบอกกับเจ้าของอาคารว่า
"เหมือนกัน" ธรรมชาติของพื้นทั้งสองระบบนี้แตกต่างกันมาก
และทำให้อาคารของท่านพังลงมาได้ง่าย
ๆ
หากลองวิเคราะห์ถึงพื้นฐาน ของการรับแรงในคานดู
จะเห็นได้ถึงความแตกต่าง อย่างเด่นชัด
พื้นสำเร็จ เป็นการวางแผ่นพื้น ลงบนคานสองด้าน
คือหัวและท้าย สมมุติว่าพื้นทั้งผืนนั้น
ขนาด 6 x 6 เมตร รวมเป็นพื้นที่ 36
ตร.ม. ต้องการให้รับน้ำหนักได้ ตร.ม.
ละ 200 กก. ทำให้จะต้องรับน้ำหนักได้
= 36 x 200 = 7,200 กก. และน้ำหนัก
7,200 กก. นั้นจะถ่ายลง บนคานหัวท้าย
สองข้าง คานหัวท้าย จะแบ่งน้ำหนักกัน
รับตัวละ = 7,200/2 = 3,600 กก. โดยที่คานด้านข้าง
อีกสองตัว อาจจะไม่ได้รับแรงกดอะไรเลย
ทำหน้าที่เป็นตัวยึดเท่านั้น
. เมื่อเปลี่ยนพื้นสำเร็จ
เป็นพื้นหล่อกับที่ การถ่ายน้ำหนัก
จะถ่ายลงยังคานทั้ง 4 ตัว (ด้าน) ทำให้คาน
แต่ละตัว ต้องรับน้ำหนัก = 7,200/4
= 1,800 กก. คานด้านข้างทั้งสอง ที่ออกแบบ
ไม่ให้รับน้ำหนักอะไรเลย ก็ต้องมารับน้ำหนัก
1,800 กก. ทำให้คานนั้นหักได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง
ถ้ามีพื้นต่อเนื่อง ทางด้านข้างอีก
คานที่ไม่ได้ออกแบบมา ให้รับน้ำหนัก
อาจจะต้องรับน้ำหนักถึง 3,600 กก. ทีเดียว
ส่วนคานด้านหัวท้าย ออกแบบมาให้รับน้ำหนัก
3,600 กก. กลับมีน้ำหนักลงเพียง 1,800
กก. ซึ่งอาจจะทำให้ เกิดปัญหาอื่น ๆ
ต่อเนื่องได้ ทำนองเดียวกัน หากเปลี่ยนพื้นหล่อกับที่ธรรมดามาเป็นพื้นสำเร็จ
คานที่ออกแบบหัวท้าย รับเฉลี่ย 4 ส่วน
ต้องมารับเฉลี่ยเพียง 2 ส่วน ก็จะรับน้ำหนักมากไป
และจะเกิดการวิบัติได้ (ออกแบบไว้รับได้
1,800 กก. ต้องมารับ 3,600 กก.) |
|